Shopping

Computer

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การแก้ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์

เครื่องแฮงค์เพราะไดรเวอร์
ไดรเวอร์คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการหรืออธิบายง่ายๆ ก็คือคอยทำหน้าที่แนะนำให้ระบบปฏิบัติการรู้จักและทำงาน ร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้นั่นเอง ดังนั้นหากอุปกรณ์ตัวไหนที่ไม่ได้ลงไดรเวอร์ ก็อาจทำให้ระบบปฏิบัติการไม่รู้จัก จึงไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดูแล้วไดรเวอร์ ไม่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาใช่มั้ยครับ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตัวเก่าได้ มีผู้ใช้หลายคนยกเครื่องมาให้ ช่างคอมพิวเตอร์ตรวจเช็คเนื่องจากปัญหาเครื่องแฮงค์บ่อยพอสอบถามถึงปัญหาก็พบว่าผุ้ใช้ได้เคยอัพเดท ไดรเวอร์รุ่นใหม่ที่ดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเมื่อตรวจเช็คแล้วก็พบว่าไดรเวอร์ที่ผุ้ใช้ อัพเดทนั้นเป็นไดรเวอร์รุ่นทดสอบที่หลายเว็บไซต์มักชอบนำมาให้ดาวน์โหลดไปทดสอบกันดูก่อน เมื่อไดรเวอร์ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถทำงานเข้ากับฮาร์ดแวร์ บางตัวได้จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ นั่นเอง ซึ่งปัญหานี้พบได้บ่อยมาก

    สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของ ผู้ใช้ก่อน หากพบเครื่องที่มีอาการแฮงค์หลังจากที่ผู้ใช้อัพเดทไดรเวอร์ลงไปให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเกิดจากสาเหตุนี้ วิธีแก้ปัญหาก็คือให้จัดการถอดไดรเวอร์ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป แล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Properties
2. ที่หน้าต่าง System properties ให้คลิกแท็ป Device Driver
3. จากนั้นคลิกขวาที่ไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่มีปัญหา แล้วเลือกคำสั่ง Remove ไดรเวอร์นั้นออกไปแล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม

    แต่บางครั้งไดรเวอร์ที่มากับอุปกรณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ซื้อมา ก็อาจทำให้มีปัญหาได้เหมือนกัน โดยจะ พบบ่อยมากในไดรเวอร์ของการ์ดแสดงผล 3 มิติ และซาวด์การ์ดยี่ห้อโนเนมทางแก้ปัญหาคือ ต้องไปดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์ยี่ห้อที่ใช้อยู่เท่านั้น ไม่ควรไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์อื่น เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

    เครื่องแฮงค์เพราะโปรแกรมแอพพลิเคชั่น
หลายครั้งที่อาการแฮงค์มักเกิดหลังจากโปรแกรมที่ติดตั้ง อยู่ในเครื่องเข้ากันไม่ได้ บางไฟล์ของโปรแกรมตัวหนึ่งอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงไฟลืบางตัวของระบบปฏิบัติการจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากไฟล์นามสกุล DLL ซึ่งเป็นไฟล์สาธารณะของระบบปฏิบัติการ ที่มักจะมีหลายโปรแกรมที่เราติดตั้ง เข้ามาขอใช้ไฟล์นามสกุล DLL ด้วย แต่บางโปรแกรมก็มีไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าไฟล์ DLL ตัวเดิมของระบบปฏิบัติการ เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมนี้ลงไปมันก็จะเขียนไฟล์ DLL ตัวใหม่ทับตัวเก่าทันที จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ตามมา เพราะไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้

    สำหรับแนวทางแก้ไขของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมของการใช้งานของผู้ใช้ก่อน เมื่อพบเครื่องที่มีลักษณะเครื่องแฮงค์หลังจากที่ผุ้ใช้ลงโปรแกรมตัวใหม่ลงไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจ มาจากสาเหตุนี้ วิธีการแก้ไขก็คือ หากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนวินโดวส์ 98 / Me ให้บูตเครื่องด้วยแผ่นบูตแล้วพิมพ์คำสั่ง Scanreg / restore เพื่อเป็นการย้อนกลับไปใช้รีจีสทรีที่วินโดวส์ได้แบ็คอัพเก็บไว้ 5 วันหลังสุด ก็ให้เราเลือกวันที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหาเพียงเท่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ครับ

    สำหรับวินโดวส์ Me และวินโดวส์ XP ก็สามารถใช้โปรแกรม System Restore เพื่อย้อนกลับไปยังวันที่ไม่เกิดปัญหาได้ โดยสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ดังนี้

1. คลิกปุ่ม Start > Program > Accessories > System Tools > System Restore
2. เมื่อปรากฏโปรแกรม System Restore ขึ้นมาให้คลิกที่ช่อง Restore my computer to earlier time แล้วคลิกปุ่ม Next
3. เลือกวันที่และจุด Checkpoint ที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหา โดยวันที่ที่สามารถย้อนกลับไปได้จะเป็นช่องหนาๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next
4. จะมีหน้าต่างแสดงรายละเอียดของวันที่และจุด Checkpoint ที่ต้องการย้อนระบบกลับไป ให้เราคลิกปุ่ม Next แล้วโปรแกรมก็จะเริ่มทำการย้อนระบบกลับไปยังวันที่และจุด Checkpoint ที่เรากำหนด

การเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจาก Software ที่เราได้ติดตั้งลงไป

การเข้าสู่เมนู Safe Mode เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจาก Software ที่เราได้ติดตั้งลงไป เพราะในโหมดเมนูนี้จะข้ามการทำงานของ Registry และ Driverของ Hardware และค่าต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ได้กำหนดไว้ ดังนั้นขั้นตอนการ Boot เข้าสู่ Safe Mode จึงไม่เสียหายจากการทำงานเหล่านี้ จึงควรเรียนรู้การใช้งาน Safe Mode ด้วยเพราะจะช่วยแก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องได้เป็นอย่างดี หากเครื่องใหนมีปัญหาไม่สามารถบูตเข้า Windows ได้จะแก้ปัญหาโดยการเข้าสู่ Safe Mode แล้วเข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ตามต้องการ เช่น หากปัญหาที่เกิดจากการติดตั้ง Driver ก็ให้เข้า Safe Mode แล้วเข้าไปลบไดรเวอร์ตัวนั้นออกไป หากมีปัญหาจากการติดตั้งโปรแกรมต่างๆ ก็ให้เข้าไปที่ Add / Remove โปรแกรมใน Safe Mode แล้วคลิกเลือกโปรแกรมที่สร้างปัญหาออกไป

ระบบ Windows และ PhotoShop สามารถติดตั้ง Font ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ดังนี้

ระบบ Windows และ PhotoShop สามารถติดตั้ง Font ใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ดังนี้

ปกติแล้วในโปรแกรมวินโดร์จะมีรายชื่อของ Font ที่สามารถใช้งานได้เลยมาให้อยู่จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่สำหรับบางโปรแกรมอย่างเช่น โปรแกรม Photo Shop อาจจะไม่สามารถใช้งานของ Font ที่เป็นภาษาไทยได้ หรือบางครั้งเราต้องการเพิ่มเติมรายชื่อของ Font เข้าไปในวินโดร์ วิธีการง่าย ๆ ก็คือให้ไปหา Download Font มาก่อน แล้วทำการ Setup หรือเข้าไปติดตั้ง
สำหรับวิธีการติดตั้ง Font เพิ่มเติมนั้น เท่าที่เคยพบมาก็มีอยู่หลายวิธี ขอยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ ดังนี้

1. สำหรับ Font ของวินโดร์ทั่ว ๆ ไป ให้ทำการ Copy ไฟล์ของ Font ไปเก็บไว้ในไดร์ C:\WINDOWS\FONTS
2. ใช้วิธีการ Install New Font ลงในวินโดร์จากเมนู Control Panel
3. สำหรับ Font ของโปรแกรม Photoshop ก็ให้ทำการ Copy ไฟล์ของ Font ไปเก็บไว้ในไดร์ C:\Program Files\Common Files\Adobe\Fonts แล้วอย่าลืมว่า Font ที่จะใช้งานกับ Photoshop ได้นั้นจะต้องมีการแก้ไข code มาเรียบร้อยแล้วก่อนด้วย
4. สำหรับโปรแกรม Photoshop ก็มีอีกวิธีหนึ่ง คือการใช้ Plug In ชื่อว่า Extensis Phototext 2.0 (Free Ware) จากเว็บไซต์
และในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ Install New Font มาเป็นตัวอย่างให้ดูกัน โดยให้ทำการหาดาวน์โหลด Font ที่ต้องการติดตั้งเพิ่มเตรียมไว้กก่อน

- เรียก Control Panel โดยกดที่ Start เลือก Settings และ Control Panel แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ Fonts
- จะเห็นรายชื่อของ Font ที่โปรแกรมวินโดร์รู้จัก หากต้องการเพิ่มเติม Font เลือกที่เมนู File เลือก Install New Font
- เปลี่ยนที่ Drives ให้เป็น Drives ที่เก็บ Font ที่ต้องการจะติดตั้งเพิ่มเติม เลือกที่ Folders ให้เป็น Folder ที่เก็บ Font จะปรากฏรายชื่อของ Font ที่หาพบในช่อง List of fonts
- ให้กดที่ Select All หรือเลือก Font ที่ต้องการติดตั้งแล้วกด OK
- รอสักครู่ จะปรากฏรายชื่อ Font ที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไปใหม่ หลังจากนี้ โปรแกรมต่าง ๆ ก็จะรู้จักและสามารถใช้งาน Font เหล่านี้ได้ และก็ระวัง คือจำนวนของ Font ที่จะติดตั้งเพิ่มเข้าไปในโปรแกรมวินโดร์ จะมีข้อจำกัดที่ประมาณ 1,100 ชื่อซึ่งถ้าหากติดตั้งมากเกินไป อาจจะก่อให้เกิดปัญหากับโปรแกรมวินโดร์ได้

การบูทเครื่อง Computer จากแผ่นดิสก์ โดยการสร้างแผ่น Startup Disk

การบูทเครื่อง Computer จากแผ่นดิสก์ โดยการสร้างแผ่น Startup Disk

แผ่น Windows 98 และ Windows ME Startup Disk ก็คือแผ่น Disk ที่ใช้สำหรับบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะต้องใช้เมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นกับระบบปฎิบัติการ Windows และไม่สามารถบูทเครื่องเข้าโปรแกรม Windows แบบปกติได้ โดยที่ภายในแผ่นดิสก์นี้ จะประกอบไปด้วยระบบ DOS ของ Windows และไฟล์ Utilities ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการจัดการ และการ Format Hardisk  รวมทั้งโปรแกรมหรือคำสั่งของ DOS ต่าง ๆ ในส่วนที่จำเป็นต่อการใช้งานของคอมพิวเตอร์

โดยทั่วๆไป เราจะใช้แผ่น Startup Disk สำหรับบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการจัดกับ พาร์ติชัน หรือการ Format Hardisk ซึ่งโดยปกติแล้ว การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ เราควรที่จะมีแผ่นดิสก์นี้ไว้สักแผ่น เผื่อไว้ใช้งานยามฉุกเฉิน ส่วนวิธีการใช้งานแผ่นดิสก์นี้ ถ้าหากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้มีการตั้ง Boot Sequence ให้เลือกบูทจาก Drive A: ก่อนแล้วค่อยไปหา Harddisk ถ้าเราใส่แผ่น Startup Disk ในช่อง Floppy Disk Drive เครื่องก็จะเลือกบูทจากแผ่นดิสก์นี้ แต่ถ้าหากตั้งให้ เครื่องบูทระบบจาก Hardisk ก่อนเราต้องไปเปลี่ยนใน bios ให้เป็น Drive A: แทน จึงจะใช้ได้

การสร้างแผ่น Windows 98 & Windows ME Startup Disk สามารถทำโดยใช้เครื่องมือที่อยู่ในระบบ Windows 98 & Windows ME ได้ ซึ่งแผ่น Startup Disk ที่ได้นี้จะสามารถนำมาใช้สำหรับการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ และภายในแผ่น จะมีชุดคำสั่งต่าง ๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น และนอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง Driver ของ CD-ROM รวมอยู่ด้วย ดังนั้น จึงสามารถใช้งาน CD-ROM Drive ได้ในทันที โดยไม่ต้องทำการตั้ง Driver ของ CD-ROM ต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก

วิธีการสร้างแผ่น Windows 98 & Windows ME Startup Disk ถ้าระบบ Windows ของคุณติดตั้งจากแผ่นซีดี จะต้องใส่แผ่นซีดีสำหรับติดตั้ง Windows เข้าไปในเครื่องก่อน แต่ถ้าหากเป็นเครื่องที่ทำการติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์โดยตรงก็ไม่จำเป็นครับ

การสร้างแผ่น Startup Disk เริ่มต้นโดยการเลือกที่เมนู Start >> Settings >> Control Panel >> Add/Remove Programs เลือกที่ป้าย Startup Disk
กดที่ปุ่ม Create Disk เพื่อเริ่มต้นการสร้างแผ่น Startup Disk

ใส่แผ่น Floppy Disk ในช่อง Floppy Disk Drive และกดที่ปุ่ม OK จากนั้นก็รอสักครู่ เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการสร้างและ Copy ไฟล์ต่าง ๆ ที่จำเป็นใส่ลงในแผ่น Floppy Disk เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็สามารถนำแผ่น Floppy Disk ที่ได้นี้ไปใช้งานได้ โดยจะสามารถนำไปใช้เป็นแผ่นบูทเครื่อง Computer ได้เลย

การแก้ไขปัญหาจุกจิกในการแสดงผลจอภาพ

1. การแก้ไขปัญหาปลีกย่อยในการแสดงผลคอมพิวเตอร์

การใช้การ์ดจอภาพของ TNT แล้วเมื่อพิมพ์ข้อความต่าง ๆ แล้ว สระตัวบนและตัวล่างไม่ยอมขึ้นมาทันที
จะต้องพิมพ์ตัวอักษรดังต่อไปก่อนจึงจะเห็น เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ๆ กับผู้ที่ใช้การ์ดจอของ TNT ครับให้ลองหา Driver รุ่นใหม่ ๆ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ สามารถจะแก้ไขได้หรือใช้ Driver ของ Detonator Version 3.65 หรือใหม่กว่านี้ขึ้นไป ซึ่งหาได้จากเว็บไซต์

2. ปัญหาสีเพี้ยนของหน้าจอแก้ปัญหาอย่างไร
การแก้ไขปัญหาสีของจอภาพสีเพี้ยนลักษณะนี้ อาจเกิดจากคลื่นแม่เหล็กที่วางอยู่ใกล้ ตู้เย็น,เตาอบไมโครเวฟ,ลำโพง หรืออื่นๆที่มีแม่เหล็ก ถาพที่ปรากฎ จึงมีสีเพี้ยนไป ซึ่งหากว่ามีการนำลำโพงที่ไม่มี Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็ก นำไปวางไว้ข้างจอคอมพิวเตอร์ ก็อาจพบว่าภาพบนจอคอมพิวเตอร์แสดงสีเพี้ยน ๆ เพราะว่าในตัวของลำโพงจะประกอบไปด้วยคลื่นแม่เหล็กแรงสูงอยู่ภายใน จึงทำให้จอภาพมอนิเตอร์ที่มีการใช้สนามแม่เหล็กในการควบคุมการยิงเม็ดสี ให้ตกกระทบ ตรงตำแหน่งบนหน้าจออย่างถูกต้อง เกิดอาการยิงผิดยิงถูก ภาพที่ออกมาจึงมีสีเพี้ยนไป
วิธีการแก้ไขปัญหาก็คือ เพียงวางลำโพงให้ห่างจากจอคอมพิวเตอร์พอประมาณ หรือหาลำโพงที่ Shield ป้องกันคลื่นแม่เหล็กมาใช้ก็ได้ ภาพสีก็จะหายไป แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นเลย ก็ควรให้ช่างตรวจเช็คดูจะดีกว่า เพราะบางทีอาจมีปัญหาที่จอมอนิเตอร์เอง

3. เพราะเหตุใดจอจึงดับโดยไม่มีสาเหตุ
กรณีใช้ Windows 98 ตอนบูตเครื่องขึ้นมาจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าทิ้งเครื่องไว้สักประมาณ 5 นาทีหรือขณะที่กำลังทำงานอยู่ จอภาพก็ดับไปเฉย ๆ แต่เครื่องก็ยังทำงานอยู่ ถ้าไปกดปุ่ม ESC ก็จะกลับมาเหมือนเดิม สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็คือ เกิดจากการตั้งค่าในส่วน Power Management เป็นการประหยัดไฟในโปรแกรมวินโดวส์ และเมื่อเราไม่ได้ทำงานบนคอมพิวเตอร์เป็นเวาลานาน ๆ ตามที่กำหนดของโปรแกรม Windows ขั้นตอนการแก้ไขก็ทำตามขั้นตอนดังนี้
- เข้าไปในส่วนของ Display Properties คลิกแท็บ Screen Saver
- คลิกปุ่ม Setting
- คลิกที่แท็บ Power Schemes
- เลือกค่าต่าง ๆ ในส่วนของ Setting for Always ให้เป็น Never ให้หมด และคลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า
- คลิกปุ่ม OK อีกครั้งเพื่อปิด หน้าต่าง Display Propertie เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว

4. ปิดเครื่อง Shotdown แล้วปรากฎข้อความ Windows protect error
ปัญหานี้มักจะเกิดมาจาก Driver ของอุปกรณ์ Hardware ประเภทการ์ดจอภาพ และ Mainboard เสียเป็นส่วนใหญ่ซึ่งการแก้ไขทั่วๆไปก็ให้เข้าไปดาวน์โหลด Driver ตัวใหม่ ๆ จากเว็บไซต์ของผู้ผลิต มาแทน Driver ตัวเก่า สำหรับคนที่ใช้การ์ดจอของ Nvidia และใช้ไดรเวอร์ Detemator 3 (6.xx) ก็จะเกิดปัญหานี้ด้วยเพราะว่าไดรเวอร์ Detemator 3 (6.xx) จะไม่ทำการเคลียร์ Ram เมื่อเลิกใช้งาน คือพอทำการ Shortdown Windows มันจะจัดการกับ Ram ที่ค้างไม่ได้ จึงขึ้นข้อความ Protection Error การแก้ไขนั้นให้ทำการ Download ไดรเวอร์การ์ดจอของ Nvidia เวอร์ชั่น 7.xx มาใช้งาน ซึ่งสามารถ Download ได้ที่เว็บไซต์
แต่ไดรเวอร์ตัวนี้ก้ยังมีปัญหาในการเล่น Mode 3D วิธีแก้ก็ให้คุณทำการรีสตาร์ทใหม่ 1 ครั้ง แล้วค่อย Shutdown

5. จอภาพสั่น หรือมีการกระพริบอยู่ตลอดเวลา ทำงานแล้วรู้สึกปวดตามากจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรดี
ปัญหานี้เกิดจากคุณไม่ได้เข้าไปปรับอัตรา Refresh Rate ของจอภาพใน Windows หรือถ้าปรับแล้วก็ยังสั่นอยู่อีก ให้คุณลองดูครับว่ามีคลื่นสนามแม่เหล็กมากวนจอภาพของเราหรือไม่ เช่น จอภาพที่วางใกล้ ๆ กัน หรือจะเป็นคลื่นจากลำโพงที่วางไว้ใกล้กับจอภาพอัตรา Refresh สูง ๆ นั้นจะช่วยให้ภาพที่แสดงออกมานั้นนิ่งดูสบายตามากขึ้น สำหรับจอภาพขนาด 15" ส่วนใหญ่จะปรับอัตรา Refresh Rate อยู่ที่ 75-85 Hz ซึ่งการปรับอัตรา Refresh Rate นี้จะสัมพันธ์กับความละเอียดของจอด้วย เช่น 800x600 @ 85Hz , 1024x768 @ 75Hz ฯลฯ ขั้นตอนการปรับอัตรา Refresh Rate ให้ทำได้ดังนี้
- คลิกขวาที่ Desktop เลือก Properties
- คลิกที่แท็บ Settings และคลิกที่ Advanced
- คลิกที่แท็บ Adapter ที่ Refresh Rate สามารถปรับอัตรา Refresh Rate ได้ตามต้องการ
- คลิก ปุ่ม OK
- คลิกปุ่ม YES เพื่อยืนยันอีกครั้ง เพียงแค่นี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว

6. ถ้าหากไม่มีส่วนให้ปรับค่า Refresh Rate ทำอย่างไร
เป็นปัญหาพอสมควร เพราะหลังจากการที่ได้ติดตั้งไดรเวอร์ต่าง ๆ ครบแล้วครั้นจะมาทำการปรับแต่งอัตรา Refresh Rate แต่ปรากฎว่าไม่สามารถทำได้เลย เพราะไม่มีช่องให้ปรับแต่ง ซึ่งหากว่าพบปัณหาแบบนี้ก็ต้อง ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการปรับแต่งนั่นก็คือ โปรแกรม Power Strip โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ Download.com เมื่อทำการ ดาวน์โหลดและติดตั้งเสร็จแล้ว ตัวโปรแกรมก็จะฝังตัวอยู่ที่ทาส์บาร์ใกล้ ๆ กับนาฬิกาด้านขวาล่าง ซึ่งขั้นตอนในการปรับแต่งจากโปรแกรม Power Strip มีดังนี้
- คลิกขวาที่ไอคอน Power Strip
- เลือกไปที่ตัวเลือก Desk top
- ปรับค่ารีเฟรชในส่วนของ Refresh Rate ซึ่งควรปรับอยู่ที่ 70-85 Hz
- เมื่อปรับแล้วก็ให้ คลิกปุ่ม OK เท่านี้ก็สามารถปรับอัตรารีเฟรซได้แล้วครับ